ซอด้วง
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มี 2 สาย ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรีของจีน ร่วมบรรเลงในวงเครื่องสายเมื่อราวต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หรือถ้าก่อนนั้นก็คงราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมกันกับซออู้ มีหน้าที่เป็นผู้ทำทำนองเพลง สีเก็บถี่ๆบ้าง โหยหวนเป็นเสียงยาวบ้าง เป็นหลักในการดำเนินเนื้อเพลง และเป็นผู้นำวง ด้วยเหตุที่เรียก "ซอด้วง" ก็เพราะว่ากะโหลกซอนั้น มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดักสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ด้วงดักแย้" ส่วนประกอบของซอด้วงมีดังนี้
• กะโหลกทำด้วยไม้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกลำตัวมีกระพุ้งเล็กน้อย ตอนปลายผายภายในเจาะแต่เป็นโพรง ใกล้หน้าขึ้นหนังจะเจาะรู 2 รูเพื่อสอดใส่ไม้คันทวน
• หน้าซอ ขึ้นด้วยหนังงูเหลือมหนังลูกแพะ หรือหนังลูกวัว
• คันทวน ทำด้วยไม้มีส่วนประกอบดังนี้
• เดือย เป็นส่วนล่างสุดกลึงให้เล็กเพื่อสอดใส่เข้าไปในรูกะโหลกตอนบนทะลุออกตอนล่างเล็กน้อย
• เท้าช้าง กลึงลักษณะกลมเพื่อยึดติดกะโหลกซอตอนบน
• ลูกแก้ว กลึงเป็นวงกลมรอบไม้ต่อจากเท้าช้าง
• เส้นลวด กลึงเป็นวงเส้นนูนเล็กๆห่างจากลูกแก้วขึ้นมาเล็กน้อย
• บัวกลึงบากให้เป็นเหลี่ยมเพื่อให้รับกับโขนซอ
• โขนซอที่ปลายคันทวน จะกลึงเป็นทรงสี่เหลี่ยมโค้งไปทางหลังเล็กน้อย เรียกว่า"โขนซอ"และที่โขนซอเจาะรู๒รูเพื่อสอดใส่ลูกบิด
• ลูกบิด ทำด้วยไม้กลึงหัวใหญ่มีลักษณะ เป็นลูกแก้ว ก้านบัวประดับเม็ด ปลายกลมเรียวแหลม เพื่อสอดใส่ในรูลูกบิด ตอนปลายสุดจะบากเป็นช่องเล็กสำหรับพันผูกสายซอบิดลดเร่งเสียง
• สายใช้สายไหมทั้ง 2 เส้นๆหนึ่งเป็นสายเอก อีกเส้นหนึ่งเป็นสายทุ้ม ต่อมาใช้สายเอ็นผูกที่เดือนใต้กะโหลกผ่าน "หย่อง" ซึ่งทำด้วยไม้เล็ก เพื่อหนุนสายให้ลอยตัวผ่านหนังหน้าซอไปยังลูกบิดและไปพันผูกที่ปลายลูกบิดทั้งสอง ก่อนถึงลูกบิดบริเวณใกล้บัว ใช้เชือกรัดสายให้ตึงห่างจากคันทวนพอประมาณเรียกว่า "รัดอก"
• คันชัก ทำด้วยไม้กลึงกลมโค้งเล็กน้อย ตอนหัวและหางกลึงเป็นลูกแก้ว ตอนล่างจะกลึงไม้นูนกลมออกมาจากคันซอเล็กน้อย เพื่อคล้องหางม้า สำหรับตอนบนเจาะรูเพื่อสอดใส่หางม้าที่มีจำนวนหลายๆเส้น โดยขมวดไว้ที่ปลายคันซอ โดยปกติคันชักของซอด้วงและซออู้จะอยู่ในระหว่างสายเอกกับสายทุ้มเพื่อให้สวยงามนิยมแกะสลักฝังมุขเป็นลวดลายต่างๆสวยงาม บางคันทำด้วยงาทั้งคัน ตลอดจนกะโหลกหรือลูกบิดก็เป็นงาด้วย
หลักการสีซอด้วง
ผู้สีนั่งท่าพับเพียบ ลำตัวตรง มือซ้ายจับคันทวน ให้ฝ่ามือหันเข้าหาลำตัว ไม่หักหรืองอข้อมืออยู่ใต้รัดอก คันทวนอยู่ชิดง่ามนิ้ว ระหว่างนิ้วหัวมือกับนิ้วชี้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าประคองคันทวน กระบอกซอวางอยู่ประมาณกึ่งกางของหน้าขาซ้าย คันทวนอยู่ในแนวตั้ง แขนซ้ายอยู่ในท่างอข้อศอกห่างจากลำตัวพองาม มือขวาหงายมือจับคันทวนแบบสามหยิบ ให้คันชักขนานพื้น วิธีจับแบบสมาหยิบ คือ มือขวาจับคันชักห่างจากหมุดตรึงหางม้าในช่วงไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วนางจับก้านคันชัก และให้นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนคันชักนิ้วชี้และนิ้วกลางรองรับอยู่ด้านล่าง ส่วนนิ้วนางสอดเข้าไปในระหว่างก้านคันชักกับกับหางม้า โดยเรียงลำดับให้สวยงาม แขนขวาไม่หนีบหรือกางข้อศอกจนเกินงาม
วิธีสีซอด้วงมีดังนี้
1.สีไล่เสียงด้วยการกดสายทีละนิ้วยกเว้นนิ้วก้อย
2. สีไล่เสียง โดยใช้นิ้วก้อย 9 เสียง
3.เก็บคือการสีด้วยพยางค์ถี่ๆโดยตลอดเป็นทำนองเพลง
4.สีสะบัดคือการสีที่มีพยางค์ถี่และเร็วโดยมากเป็น3พยางค์
5.สีนิ้วพรมเปิดคือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงช้า
6.สีนิ้วพรมปิดคือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงถี่ๆ
7.สีนิ้วประคือการสีสายเปล่าใช้กลางนิ้วของนิ้วกลางแตะขึ้นลงที่สาย
8.สีครั่นคือการใช้นิ้วกดยืนเสียงตามด้วยนิ้วกลางและใช้นิ้วกลางเลื่อนขึ้นเลื่อนลง
9. สีสะอึก คือการสีให้เสียงขาดเป็นตอนๆ
10.สีรัวคือการใช้ส่วนปลายของคันชักสีออกสีเข้าสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็วที่สุด
11. สีดำเนินทำนองเพลงเป็นทางของจะเข้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซออู้
เป็นเครื่องสีอีกประเภทหนึ่งที่เป็นคู่มากับซอด้วง เข้าใจว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ชนชาติจีนเล่นมาก่อนมารวมเล่นเป็นวงเครื่องสายในระยะเดียวกับซอด้วง มีหน้าที่สีดำเนินทำนองเพลงในลักษณะหยอกยั่วเย้าไปกับผู้ทำทำนองเพลงบางครั้งใช้สีคลอไปกับร้อง ด้วยภายหลังเมื่อมีวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์และวงปี่พาทย์ไม้นวม จึงได้นำซออู้เข้ามาบรรเลงร่วมด้วย ส่วนประกอบของซออู้มีดังนี้
• กะโหลกซอ ทำด้วยกะลามะพร้าว โดยเฉพาะกะลามะพร้าวที่มีลักษณะ กลมรีขนาดใหญ่ นำมาปาดกะลาออกด้านหนึ่ง เพื่อขึงหรือขึ้นหน้าซอ ที่ตัวกะโหลกนั้นขัดเกลาให้เรียบ บางกะโหลกด้านหลังที่เจาะเป็นรู แกะลวดลายต่างๆให้สวยงาม เพื่อใช้เป็นรูระบายเสียงไปในตัว ส่วนตอนบนเจาะรูทะลุตรงกลางเพื่อสอดใส่คันทวน
• คันทวน ทำด้วยไม้แก่น กลึงเหลาให้กลมมีลักษณะเรียวยาว โคนเล็ก ปลายขยายใหญ่ขึ้นคันทวน
• เดือย กลึงเล็กเรียวยาวพอทะลุกะโหลกด้านล่างเพื่อไว้ผูกสาย
• เท้าช้าง กลึงกลมโดยรอบเพื่อยึดกับกะโหลก
• ลูกแก้ว กลึงกลมโดยรอบต่อจากเท้าช้าง
• เส้นลวด กลึงกลมโดยรอบ โดยห่างจากลูกแก้วเล็กน้อยจากเส้นลวดจะกลึงให้มีขนาดเรียวใหญ่ขึ้นไปจนถึงปลายเรียกว่า"ทวนปลาย" ที่บริเวณทวนปลายจะกลึงเป็นลูกแก้ว 3 ช่วงห่างกันพอประมาณระหว่างช่วงลูกแก้ว ทั้งสามเจาะรู 2 รูสำหรับสอดใส่ลูกบิด ปลายสุดของทวนบนจะกลึงคล้ายลูกแก้วตรงกลางขอบสุดจะกลึงขีดเป็นเส้นวงกลม สำหรับปลายทวนของซออู้จะเป็นไม้ตัน แต่ทวนบนของซอสามสายจะเป็นโพรงภายใน
• ลูกบิด ทำด้วยไม้แก่นกลึงกลมหัวใหญ่ ประกอบลูกแก้ว ปลายเรียวเล็กเพื่อสอดใส่ในรูคัน ทวนตอนปลายสุดเจาะรูเล็กเพื่อผูกพันสายซอ
• สายใช้สายไหมหรือสายเอ็น 2 เส้น ผูกที่เดือยใต้กะโหลกขึงผ่าน"หมอน" ซึ่งทำด้วยผ้าพันลักษณะกลมสำหรับหนุนสายให้ผ่านหน้าซอและไปผ่านหมอนไปถึงลูกบิด พันผูกที่ลูกบิดทั้งสอง ก่อนถึงลูกบิดจะใช้เชือกมัดสายทั้งสองกับคันทวนให้ห่างพอประมาณเรียกว่า " รัดอก “ เพื่อให้เสียงไพเราะยิ่งขึ้น
• คันชัก ทำด้วยไม้แก่น เหลากลมยาว มีลักษณะเช่นเดียวกับคันชักซอด้วงและสอดใส่อยู่ในระหว่างสายเอกกับสายทุ้ม เพื่อให้สวยงาม นิยมแกะสลักเป็นลวดลายประดับมุขเป็นลวดลายต่างๆสวยงามบางคันทำด้วยงาทั้งคัน
หลักการสีซออู้
ผู้สีนั่งท่าพับเพียบ ลำตัวตรง มือซ้ายจับคันทวนให้ฝ่ามือหันเข้าหาลำตัว ไม่หักหรืองอข้อมืออยู่ใต้รัดอก คันทวนอยู่ชิดง่ามนิ้ว ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ นิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าประคองคันทวน กระบอกซอวางอยู่ประมาณกึ่งกางหน้าขาซ้าย คันทวนอยู่ในแนวตั้ง แขนซ้ายอยู่ในท่างอข้อศอกห่างจากลำตัวพองาม มือขวาหงายมือจับคันทวนแบบสามหยิบ ให้คันชักขนานพื้น วิธีจับแบบสามหยิบ คือมือขวาจับคันชักห่างจากหมุดตรึงหางม้าในช่วงไม่เกินหนึ่งฝ่ามือโดยใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วนางจับก้านคันชักและให้นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนคันชักนิ้วชี้และนิ้วกลางรองรับอยู่ด้านล่าง ส่วนนิ้วนางสอดเข้าไปในระหว่างก้านคันชักกับหางม้า โดยเรียงลำดับให้สวยงาม แขนขวาไม่หนีบหรือกางข้อศอกจนเกินงาม
วิธีสีซออู้มีดังนี้
1.สีไล่เสียงด้วยการกดสายทีละนิ้วยกเว้นนิ้วก้อย
2. สีไล่เสียง โดยใช้นิ้วก้อย ๙ เสียง
3.สีเก็บคือการสีด้วยพยางค์ถี่ๆโดยตลอดเป็นทำนองเพลง
4.สีสะบัดคือการสีที่มีพยางค์ถี่และเร็วโดยมากเป็น3พยางค์
5.สีนิ้วพรมเปดิ คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงช้า
6.สีนิ้วพรมปิดคือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงถี่ๆ
7.สีนิ้วประคือการสีสายเปล่าใช้กลางนิ้วของนิ้วกลางแตะขึ้นลงที่สาย
8.สีรัวคือการใช้ส่วนปลายของคันชักสีออกสีเข้าสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็วที่สุด
9.สีดำเนินทำนองเพลงเป็นทางของจะเข้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซอสามสาย
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่เก่ามาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยมีวิธีการประดิษฐ์ลักษณะของซอได้อย่างปราณีต สวยงาม มีเสียงไพเราะนุ่มนวล เดิมใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีโดยเฉพาะในวง“ขับไม้ “ ซึ่งใช้บรรเลงขับกล่อมในพระราชพิธี “กล่อมพระอู่” หรือพระราชพิธี"สมโภชน์ขึ้นระวางช้างต้น “ ( พิธีกล่อมช้าง ) เป็นต้น ส่วนประกอบของซอสามสายมีดังนี้กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าวชนิดที่มีลักษณะนูนเป็นกระพุ้งออกมา 3 ปุ่ม คล้ายวงแหวน 3อัน วางอยู่ในรูปสามเหลี่ยมจึงเป็นสามเส้า ผ่ากะลาให้เหลือปุ่มสามเส้า เพื่อใช้เป็นกะโหลกซอ ขึงขึ้นหน้าซอด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว โดยปิดปากกะลา ขนาดของหน้าซอจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับกะลาที่จะหามาได้ที่กะลา ด้านบนและด้านล่างเจาะรูเพื่อสอดใส่ไม้ยึดคันทวน โดยให้โผล่ตอนบนยาวกว่าตอนล่าง คันทวนทำด้วยไม้แก่นประกบต่อจากกะโหลกซึ่งมี๓
ตอนคือ
- ทวนล่าง ประกอบด้วย " ปากช้างล่าง " บากไม้ภายในให้รับกับตอนล่าง ของกะโหลกถัดจากปากช้างล่างมี " รูร้อยหนวดพราหมณ์ " คือการควั้นเชือกติดกับ เนื้อไม้เพื่อสำหรับผูกพันสายซอ จากนั้นจะกลึงไม้แก่นเป็นวงๆเรียงลำดับลดหลั่นลงมาเรียกว่า " เส้นลวด "ต่อจากนั้นจะกลึงเป็น " ลูกแก้ว " คั่นกลางแล้วต่อด้วยเส้นลวด ขนาดลดหลั่นเล็กลงไปล่างสุดจะทำเป็นเท้าซอซึ่งทำด้วยโลหะกลึงกลมปลายแหลมเพื่อตรึงยึดกับพื้น ขณะสี ทวนล่างจะสอดเข้าไปในไม้ยึดประกบชิดติดกับกะโหลกซอด้านล่างทวนกลาง กลึงลักษณะกลมยาวภายในโปร่ง เพื่อสอดเข้าไปในไม้ยึด ตอนโคนเรียบ จากนั้นจะกลึงเป็นแหวนเรียงลำดับลดหลั่นขึ้นไปตอนปลายนิยมแกะสลักประกอบมุขหรืองาเป็นลวดลายต่างๆ
- ทวนบน กลึงลักษณะกลมภายในโปร่งเรียวใหญ่ขึ้น มีเส้นลวด 4 เส้นๆที่ ๑-๒-๓ เจาะรูทะลุ สำหรับสอดใส่ลูกบิด และเจาะรูสำหรับสายซออีกรูหนึ่ง บริเวณใกล้ตอนรอยต่อทวนกลางกับทวนบน ปลายคันทวนเรียกว่า " ลำโพง " จะบานผายออก ปลายสุดจะกลึงเป็นเส้นลวดโดยรอบไว้
• ลูกบิด ทำด้วยไม้ กลึงกลมเรียว ตอนหัวกลึงเป็นรูปเม็ด ตอนปลายเรียวเล็กลงเพื่อสอดใส่ในรูคันทวนปลาย ตอนปลายสุดจะบากเป็นช่องไว้สำหรับพันผูกสายซอ
• สายซอ ใช้สายไหมหรือสายเอ็นพันผูกกับหนวดพราหมณ์ที่ทวนล่าง ขึงผ่านหน้าซอผาดไว้บน "หย่อง " ซึ่งทำด้วยไม้หรืองา โค้งติดไว้ที่หน้าซอตอนบน เพื่อหนุนสายให้ลอยเหนือคันทวนกลาง
ปลายทวนกลางจะนำเชือกไหมมารัดสายทั้ง 3 เส้นติดไว้กับคันซอหลายรอบเรียกว่า " รัดอก " จากนั้นนำสายไหมทั้ง ๓ เส้นจะสอดเข้าไปในรูทวนบนเพื่อไปผูกพันที่ปลายลูกบิด ที่หน้าหนังซอจะใช้รักก้อนเล็กๆประดับด้วยเพชรพลอย สำหรับเป็นเครื่องถ่วงเสียงให้เกิดกังวานดังไพเราะยิ่งขึ้น
• คันชัก ทำด้วยไม้กลมยาว ตอนปลายโค้ง ใช้หางม้าหลายเส้นผูกรวมกันจากปลายคันชักมาสู่โคนคันชัก โดยการนำเชือกอีกเส้นหนึ่งมามัดไว้กับโคนคันชัก เพื่อความสวยงาม ที่ปลายหางม้าจะถักหางเปีย ที่โคนคันชักจะดัดไม้โค้งงอเล็กน้อย
หลักการสีซอสามสาย
นิยมนั่งในท่าพับเพียบ ให้เท้าของซอปักลงตรงหน้าที่นั่ง มือขวาจับคันชักสีเข้า-ออกโดยผ่านสายทั้งสาม ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วของมือข้างซ้ายกดสายให้แนบชิดติดกับคันทวนกลางเพื่อให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ และจะใช้อุ้งมือบังคับคันซอหันไปมาเพื่อให้สายสัมผัสกับคันชักซึ่งจะทำให้เกิดเสียง 2 แบบคือ
1. สีดังเป็นเสียงเดียว
2. สีดังเป็นสองเสียงพร้อมกันเป็นเสียงประสานที่ไพเราะอันเป็นลักษณะของซอสามสาย
ต่อมาภายหลังนิยมนำซอสามสายเข้าร่วมบรรเลงกับวงเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น เข้าร่วมบรรเลงในวง
"มโหรี" (คือวงที่มีเครื่องสายกับเครื่องตีในวงปี่พาทย์ผสมกันโดยย่อสัดส่วนเครื่องดนตรีในวงเครื่องตีหรือวงปี่พาทย์ให้เล็กลงทั้งนี้ เพื่อให้เสียงกลมกลืนกับเครื่องสาย) มีหน้าที่บรรเลงคลอไปกับเสียงร้องและบรรเลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีอื่นๆตามทำนองเพลงเมื่อวงมโหรีขยายขนาดของวงใหญ่ขึ้น ซอสามสายจึงมีเพิ่มขึ้นอีกคันหนึ่งแต่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า “ ซอสามสายหลิบ " บรรเลงคู่กันไปกับซอที่มีอยู่เดิม แต่ไม่มีหน้าที่คลอเสียงไปกับคนร้อง เพียงแต่ช่วยดำเนินทำนอง สอดแทรกแซงในทางเสียงสูง
วิธีสีซอสามสายเพื่อให้เกิดเสียงมีดังนี้
1.การสีสายเปล่าแบบไกวเปลคือการสีที่ใช้มือขวาจับคันชักแบบสามหยิบมือซ้ายกดสายให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ ในขณะเดียวกันจะหันหรือพลิกหน้าซอไปมาให้สายรับกับคันชักมีลักษณะเหมือนไกวเปล
2.การสีไล่เสียงคือการสีที่ไล่เสียงไปตามลำดับสูงต่ำ
3.การสีพร้อมกันทั้งสองสายเปล่าให้เกิดเสียงคู่สี่ล่างและคู่สี่บน
4. สีเก็บ คือการสีให้มีพยางค์ถี่ๆโดยตลอด
5.สีนิ้วประคือการใช้นิ้วชี้กดยืนเสียงใดเสียงหนึ่งและใช้นิ้วกลางกดขึ้นลงจะเกิดเสียงห่างๆเท่าๆกัน
6. นิ้วพรม คือการทำเช่นเดียวกับนิ้วประ แต่ยกนิ้วกลางที่กดขึ้นลงให้เกิดเสียงถี่ๆกว่านิ้วประ
7.สีนิ้วแอ้ คือการใช้นิ้วชี้แตะตรงตำแหน่งรัดอกและเลื่อนนิ้วมายังตำแหน่งของเสียงทีหนึ่งพร้อมทั้งสีคันชักออก
8. สีนิ้วครั่น คือการใช้นิ้วชี้กับนิ้วนางเรียงชิดติดกันกดลงบนสายพร้อมทั้งเลื่อนนิ้วขึ้นลงให้เกิดครึ่งเสียงและตามด้วยการพรมนิ้ว
9. การสีดำเนินทำนองเพลงทำให้เกิดเป็นทางเฉพาะของซอสามสาย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สะล้อ
เป็นเครื่องสีอีกอย่างหนึ่งนิยมบรรเลงเล่นกันในภาคเหนือของไทยดังมีชื่อเรียกกันว่า "วงสะล้อซอซึง " เดิมเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ไปแอ่วสาว ต่อมาใช้บรรเลงรวมวงกับซึงและปี่จุม เรียกว่า "วงดนตรีพื้นเมืองเหนือ" สามารถบรรเลงเพลงสำเนียงเหนือได้อย่างไพเราะ เช่นเพลงละม้าย จะปุอื่อ ประสาทไหวเพลงเชียงใหม่ฯเป็นต้น เดิมเป็นเครื่องสีที่มี 2 สาย สีด้วยคันชักคล้ายซอด้วงมีวิธีการประดิษฐ์ไม่สู้ปราณีตนัก ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายตามพื้นบ้านต่อมาภายหลังพบว่าได้มีการสร้างสะล้อขึ้นด้วยความปราณีตสวยงามขึ้นและเพิ่มสะล้อขึ้นเป็น 3 ขนาดคือ
1. สะล้อเล็กมี 2 สาย
2. สะล้อกลางมี 2 สายแต่ใหญ่กว่าสะล้อเล็ก
3. สะล้อใหญ่มี 3 สายขนาดใหญ่กว่าสะล้อกลาง
ทั้ง 3 ระดับได้ทำขึ้นอย่างปราณีตโดยคันทวนทำด้วยงา ที่กะโหลกก็ประดับงาบางคันทำ
ด้วยไม้แต่ประกอบด้วยงา ส่วนประกอบของสะล้อมีดังนี้
• กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าว ไม่ใหญ่เหมือนกะโหลกซออู้ ตัดปาดครึ่งลูกสำหรับขึ้น
หน้า ด้านหลังเจาะเป็นช่องระบายเสียงมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ตอนบนเจาะรูทะลุ
ด้านล่างเพื่อสอดใส่ไม้คันซอ
• คันทวน ทำด้วยไม้เนื้อแข็งกลึงกลม เรียวยาว ตอนล่างเล็ก ตอนปลายจะขยายใหญ่
ขึ้น ตอนล่างสุดจะสร้างคล้ายกับทวนล่างของซอสามสาย แต่เล็กกว่าคือกลึงเป็นเส้น
ลวดเรียงตามลำดับ มีเท้าซึ่งทำด้วยโลหะแหลมสำหรับปักลงกับพื้น ( บางคันคันไม่ได้ทำ
เท้าเป็นโละ) ช่วงต่อจากกะโหลกจะกลึงเป็นเส้นลวดโดยรอบห่างพอสมควร กลึงเส้นลวด
อีกอันหนึ่ง ส่วนตอนบนกลึงลูกแก้ว 2 ลูก ตรงช่องกลางลูกแก้วเจาะเป็นรู 2 รูทะแยงกัน
สูงต่ำกันเล็กน้อยเพื่อสอดใส่ลูกบิด ที่ปลายสุดของคันซอ ( ทวนปลาย ) จะกลึงเป็นเม็ด
เพื่อความสวยงาม
• ลูกบิดทำด้วยไม้กลึงกลมเรียวหัวกลึงเป็นเม็ดปลายเรียวแหลมสำหรับ
สอดใส่ในรูคันซอ
• หน้าซอ ทำด้วยไม้แผ่นบางๆปิดหน้ากะลา
• สายใช้สายลวด ๒ สายผูกกับหลัก ซึ่งทำด้วยไม้หรือโลหะโค้งเล็กน้อย ลากสายผ่าน"
หย่อง " ซึ่งทำด้วยไม้ลักษณะเป็น ๓ เหลี่ยมเพื่อหนุนสายให้ลอยตัว จากนั้นลากผ่านคัน
ซอขึ้นไปพันผูกที่ลูกบิดทั้งสอง ก่อนถึงลูกบิดจะใช้หวายมัดให้สายติดกับคับซอเรียกว่า
" รัดอก " การที่ใช้หวายมัดเป็นรัดอกจะทำให้เสียงกังวานและแกร่งขึ้น ในระหว่างรัดอกจะ
มี" จิม " ซึ่งทำด้วยไม้แผ่นบางๆมายัดให้แน่นขณะเลื่อนรัดอก เพื่อหาเสียงที่ไพเราะ
• คันชักมีลักษณะเช่นเดียวกับคันชักของซอด้วง พบสะล้อที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความปราณีต
สวยงาม
• ที่บ้านของเจ้าสุนทร ณ. เชียงใหม่ครูดนตรีพื้นเมืองของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ท่านได้
สร้างขึ้นให้มีเสียงดังกังวาน โดยการเพิ่มกะลามะพร้าวที่ทำเป็นกะโหลกให้มีลักษณะเป็น
พูเช่นเดียวกับกะโหลกซอสามสายเจาะ ตรงพูให้เป็นรูปหัวใจเพื่อระบายเสียงให้กังวาน
คันทวน ทำด้วยงา โคนทวนกลางกลึงเป็นรูปวงแหวนลดหลั่นตามลำดับปลายทวนกลึง
เป็นลูกแก้วลูกบิดก็กลึงเป็นลูกแก้วประดับเม็ดระหว่างลูกบิดทั้งสามจะกลึงเป็นรูปแหวน
2 วงขนาบลูกบิดไว้ ส่วนสายนั้นใช้สายกีต้าแทน
หลักการสีสะล้อ
เดิมผู้สียืนสี คาดผ้าที่เอวให้ปลายคันทวนปักลงที่ผ้าคาดเอว มือขวาจับคันชักมือซ้ายกด
สายลำตัวสะล้อค่อนไปทางซ้ายมือของผู้ดีด ปัจจุบันผู้ดีดนั่งสีในท่าขัดสมาธิหรือพับเพียง ปัก
ปลายคันทวนลงกับพื้นด้านหน้าทางซ้าย มือขวาจับคันชัก มือซ้ายกดสายเวลาสีจะพลิกตัวสะล้อ
หันไปมาเพื่อรับกับสายคันชัก
วิธีสีและเสียงของสะล้อมีดังนี้
1.การสีสายเปล่า
2.การสีไล่เสียงยาวๆ
3.การสีเก็บ
4.การสีพรม
5.การสีดำเนินทำนองสะล้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น